แนวคิดและทฤษฎีการจัดการ
ทฤษฎีเชิงระบบ (systems
theory) (ปี 1960) เป็นวิธีการจัดการ
ที่ผสมผสานหน้าที่ในการจัดการกิจกรรมการจัดการและการวางแผน
เชิงกลยุทธ์เข้าด้วยกัน
โดยพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมภายนอก
ทรรศนะที่อธิบายถึงผลกระทบจากสภาพแวดล้อมภายนอกที่มีต่อ
องค์การถูกเสนอโดย
แดเนียล แคทซ์
โรเบิร์ต
คาห์น (Robert Kahn) และเจมส์
ธอมป์สัน (James Thompson) นักทฤษฎีเหล่านี้มีมุมมองว่าองค์การเป็นระบบเปิด (open
system) ซึ่งถือเป็นระบบที่องค์การได้นำทรัพยากรจากสภาพแวดล้อมภายนอกมาแปรสภาพเป็นสินค้าและบริการ
เพื่อส่งกลับไปยังสภาพแวดล้อมในที่ซึ่งสินค้าและบริการได้ขายให้กับลูกค้า
นอกจากนั้นผู้นำทางทฤษฎีเชิงระบบเช่น ริชาร์ด จอร์นสัน (Richard
Johnson) ฟรีมอนด์ แคสท์ (Fremont Kast)และเจมส์ โรเซนซ์เวจ (James Rosenweig)
แนวคิดเกี่ยวกับองค์การของ James D.Thompson
-
องค์การเป็นระบบเปิดที่ทำงานในสภาพที่
ไม่แน่นอน
-
องค์การพยายามดำเนินงานโดยใช้ความมีเหตุผล
เพื่อเป็นการสร้างแน่นอนในการทำงาน
-
องค์การจะต้องคอยปรับตัวเพื่อให้ทำงานได้ดีที่สุดในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน
องค์การจะจัดการกับความไม่แน่นอนโดยการแบ่งหน้าที่ออกเป็น 3 ส่วน คือ
- ส่วนเทคนิค
- ส่วนจัดการ
- ส่วนสถาบัน
นอกจากนี้ยีงมีการศึกษาแนวทางการศึกษาองค์การ
(strategies for studying
organizations) Gouldner ได้แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของแบบความเป็นเหตุเป็นผล
(rational model) ที่มีผลมาจากแนวการศึกษาระบบปิด (closed-system strategy) โดยมุ่งเน้นความแน่นอน (certainty) ซึ่งจะนำไปสู่การปรับปรุงประสิทธิภาพ และแบบระบบธรรมชาติ
(natural-system model) ที่มาจากแนวคิดระบบเปิด (open-system strategy) ซึ่งจะต้องพบกับสิ่งที่ไม่แน่นอน (uncertainty) เป็นการมุ่งเน้นความอยู่รอดมากกว่าเป้าหมาย
และเป็นการรักษาความสมดุลย์ของตัวเอง (homeostasis) จากการศึกษาของ
Simon, March และ Cyert
ระบุว่าองค์การมีกระบวนการ
พัฒนานการค้นหา เรียนรู้ และตัดสินใจ ในการตัดสินใจนั้นจะอยู่ในเหตุผลที่มี อยู่จำกัด (bounded rationality) ทำให้ไม่สามารถตัดสินใจให้มีประสิทธิภาพสูงสุดได้
(maximizing) แต่จะเป็นการตัดสินใจที่น่าพอใจที่สุด (satisficing) จึงเป็นที่มาของแนวคิดธรรมเนียมใหม่ (new tradition) ที่เป็นทางสายกลาง
คือมององค์การที่ซับซ้อนเป็นระบบเปิด แต่ยังคงใช้หลักความเป็นเหตุเป็นผล
และมุ่งเน้นการควบคุมสิ่งที่ไม่แน่นอน และยังใช้แนวคิดของ Parsons ทีว่าองค์การมีความรับผิดชอบสามระดับคือ ระดับเทคนิค (technical) ที่เป็นการผลิตสินค้าและบริการ
ควบคุมให้มีความแน่นอนที่สุดให้ทำงาน อย่างมีเหตุผลและมีประสิทธิภาพ
ระดับสถาบัน (institutional) ในฐานะที่องค์การอยู่ในระบบสังคมส่วนรวม
ต้องมีความชอบธรรมและเป็นที่ยอมรับของชุมชน
ซึ่งอยู่ในระบบเปิดที่มีความไม่แน่นอนมาก และระดับจัดการ (managerial) ที่เป็นตัวกลางในการบริหารองค์การโดยใช้หลักเหตุผลและประสิทธิภาพที่เกี่ยวกับเทคนิค
และใช้หลักความยืดหยุ่นปรับตัวเข้ากับความไม่แน่นอนที่เกี่ยวกับสถาบัน
ความเป็นเหตุเป็นผลในองค์การ (rationality in organization) Thompson กล่าวถึงเทคโนโลยีที่จะส่งผลลัพธ์ที่ต้องการไว้สามแบบดังนี้ เทคโนโลยีแบบเชื่อมโยงกัน (long-linked technology) เป็นการผลิตจำนวนมากที่มีกระบวนการต่อเนื่อง มีการพึ่งพากันต่อกัน เทคโนโลยีแบบตัวกลาง (meditating technology) เป็นตัวกลางในการให้บริการ เช่น ธนาคารเป็นตัวกลางระ- หว่างผู้ฝากและผู้กู้ และเทคโนโลยีแบบเข้มข้น (intensive technology)เป็นการรวมเทคโนโลยีหลายแบบเข้าด้วยกันThompson ได้สรุปข้อเสนอดังต่อไปนี้
ข้อเสนอที่ 1 ภายใต้ปทัสถานของความเป็นเหตุเป็นผล องค์การจะมองหาวิธีการปิดตัวเองจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อเทคโนโลยีหลัก เพราะความเป็นเหตุเป็นผลทางเทคนิค (technical rationality) ในระบบซึ่งมีความสัมพันธ์ของเหตุและผลจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการได้สมบูรณ์เมื่ออยู่ในตรรกะของระบบปิด.........................................................................................................
ข้อเสนอที่ 2 ภายใต้ปทัสถานของความเป็นเหตุเป็นผล องค์การจะมองหาวิธีกันตัวเองออกจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบเทคโนโลยีหลักรวมถึงส่วนประกอบที่เป็นปัจจัยนำเข้าและปัจจัยนำออก เพราะมองตัวเองอยู่ในตรรกะของระบบเปิด…………………………………………………………
ข้อเสนอที่ 3 ภายใต้ปทัสถานของความเป็นเหตุเป็นผล องค์การจะมองหาวิธีทำให้การจัดการปัจจัยนำเข้าและปัจจัยนำออกไหลลื่นสะดวก เช่น ในตลาดที่ผันผวน ต้องสร้างคลังสินค้าเพื่อเก็บสินค้าไว้รองรับความต้องการของตลาดที่ไม่แน่นอน................................................................................
ความเป็นเหตุเป็นผลในองค์การ (rationality in organization) Thompson กล่าวถึงเทคโนโลยีที่จะส่งผลลัพธ์ที่ต้องการไว้สามแบบดังนี้ เทคโนโลยีแบบเชื่อมโยงกัน (long-linked technology) เป็นการผลิตจำนวนมากที่มีกระบวนการต่อเนื่อง มีการพึ่งพากันต่อกัน เทคโนโลยีแบบตัวกลาง (meditating technology) เป็นตัวกลางในการให้บริการ เช่น ธนาคารเป็นตัวกลางระ- หว่างผู้ฝากและผู้กู้ และเทคโนโลยีแบบเข้มข้น (intensive technology)เป็นการรวมเทคโนโลยีหลายแบบเข้าด้วยกันThompson ได้สรุปข้อเสนอดังต่อไปนี้
ข้อเสนอที่ 1 ภายใต้ปทัสถานของความเป็นเหตุเป็นผล องค์การจะมองหาวิธีการปิดตัวเองจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อเทคโนโลยีหลัก เพราะความเป็นเหตุเป็นผลทางเทคนิค (technical rationality) ในระบบซึ่งมีความสัมพันธ์ของเหตุและผลจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการได้สมบูรณ์เมื่ออยู่ในตรรกะของระบบปิด.........................................................................................................
ข้อเสนอที่ 2 ภายใต้ปทัสถานของความเป็นเหตุเป็นผล องค์การจะมองหาวิธีกันตัวเองออกจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบเทคโนโลยีหลักรวมถึงส่วนประกอบที่เป็นปัจจัยนำเข้าและปัจจัยนำออก เพราะมองตัวเองอยู่ในตรรกะของระบบเปิด…………………………………………………………
ข้อเสนอที่ 3 ภายใต้ปทัสถานของความเป็นเหตุเป็นผล องค์การจะมองหาวิธีทำให้การจัดการปัจจัยนำเข้าและปัจจัยนำออกไหลลื่นสะดวก เช่น ในตลาดที่ผันผวน ต้องสร้างคลังสินค้าเพื่อเก็บสินค้าไว้รองรับความต้องการของตลาดที่ไม่แน่นอน................................................................................
ข้อเสนอที่
4 ภายใต้ปทัสถานของความเป็นเหตุเป็นผล
องค์การจะมองหาวิธีการพยากรณ์และปรับตัวเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมที่ไม่ได้เตรียมการไว้
เช่น การวางแผนเพิ่มยอดขายในช่วงตกต่ำ สายการบินให้ราคาพิเศษช่วงโลซี-ซั่นหรือการจัดรายการส่งเสริมการขายของห้างสรรพสินค้าต่างๆช่วงยอดขายตก
ข้อเสนอที่
5 เมื่อองค์การได้สร้างกันชน ปรับเปลี่ยน
และพยากรณ์สิ่งที่ไม่ได้ปกป้องเทคโนโลยีหลักจากความผันผวนของสิ่งแวดล้อมแล้ว
ภายใต้ปทัสถานของความเป็นเหตุเป็นผล องค์การจะอาศัยการปรับสัดส่วน เช่น เมื่อสินค้าขาดตลาดผู้ผลิตต้องปันสินค้าเป็นอัตราส่วนให้กับผู้ค้าส่งหรือผู้จัดจำหนายต่อไป
ในช่วงที่เกิดความหายนะทางธรรมชาติโรงพยาบาลก็ต้องจัดพื้นที่ปกติรับมือกับคนไข้ฉุกเฉินในตรรกะของความเป็นเหตุเป็นผลขององค์การ เทคโนโลยีหลักจะใช้แนวคิดระบบปิดเพื่อควบคุมอิทธิพลของสิ่งแวด-ล้อม ขณะที่ยังต้องเชื่อมกับปัจจัยนำเข้าและปัจจัยนำออกที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบนอกในแนวคิดระบบเปิด โดยมองอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมเป็นข้อจำกัดในการแสดงออกขององค์การ (organization action) ที่จะต้องหาวิธีควบคุมตัวเองในขณะที่มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดลอมที่ผันผวนตลอดเวลา
สรุปข้อคิดเห็น ผู้เขียนเห็นด้วยกับข้อเสนอของ Thompson ที่องค์การจะต้องประยุกต์ใช้แนวคิดของระบบปิดและระบบเปิดในการควบคุมอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยการปกป้องเทคโนโลยีหลักไม่ให้มีผลกระทบจากส่วนนี้ ขณะเดียวกันก็มีการวางแผนป้องกันสิ่งที่ไม่ได้เตรียมการไว้รับมือไว้อีกด้วย ในทางปฏิบัติแล้วจะมีสิ่งแวดล้อมภายนอกต่างๆของสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่มีโอกาสส่งผลกระทบตลอดเวลา
ที่มา:
http://anuruckwatanathawornwong.blogspot.com/2009/12/blog-post_498.html